Suchergebnisse

Objective: To exploring contraceptive services offered at both governmental and private hospitals for all types of health insurance coverage; and examining the results of contraceptive services provided by the hospitals before and after participating in the Prevention of Repeat Teenage Pregnancy Programme. Meterials and Methods: A survey research was conducted and questionnaires were distributed to 627 hospitals countrywide. Moreover, executives and practitioners of 60 hospitals from 12 provinces and Bangkok Metropolitan selected with stratified random sampling method through STATA software were interviewed. Rusults: The study findings revealed the followings: 1) for policy perspective, it was found that the provision of contraceptive services to all clients both under the Universal Health Coverage and the Prevention of Repeat Teen Pregnancy Programme were good policies that could help reduce problems of unplanned teen pregnancy and ensure equitable access among clients to the service. 2) Regarding contraceptive service provision, the study showed that there were such services available for all clients but not all types of contraception. This varied depending upon the contraceptive procurement of each hospital and clients' needs. Services of public hospitals were offered to all age groups of population. It was also found the increasing of semi-permanent birth control services under the Prevention of Repeat Teenage Pregnancy Programme, with 16.3 percent and 21.4 percent increasing of intrauterine devices (IUD) and implants respectively. 3) For contraception supplies, most hospitals self-procured supplies by directly purchase from pharmaceutical companies based on the hospital committee's decision. The disbursement of semi-permanent contraceptive supplies under the Prevention of Repeat Teenage Pregnancy Programme was well operated. Seventy-five point four percent of hospitals had not encountered any problems using e-claim system. 4) A number of challenges and gaps were indentified which included unawareness of some clients concerning their rights to health care services; lack of contraceptive information among teenagers; and not giving priority to contraceptive procurement of some hospitals' administrators. Based on the above results, some recommendations have been outlined; 1) National Health Security Office and Ministry of Public Health should prepare a clear and up-to-date manual for management and provision of family planning services for all hospitals in order to serve clients in accordance with their rights and needs under health insurance policy; 2) there should be an satisfaction evaluation of teenagers regarding service provision in order to improve services according to client needs and programme implementation in the next period; 3) educational materials should be also developed in various formats, multilanguage, and with up-to-date information and should be transmitted on easy access and popular channels for target groups especially teenagers; and 4) there should be capacity building of service providers both new and trained personnel for better quality and effective services. ; วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการจัดบริการคุมกำเนิดในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนสำหรับประชากรทุกสิทธิและผลการจัดบริการคุมกำเนิดของโรงพยาบาลก่อนและหลังการเข้าร่วมโครงการป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำในแม่วัยรุ่น วิธีการศึกษา: การวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม เก็บรวมรวมข้อมูลจากโรงพยาบาลทั่วประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 627 แห่ง ร่วมกับการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับจังหวัดและอำเภอและผู้ปฏิบัติงาน จำนวน 12 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร จำนวน 60 แห่ง ตามที่ได้จาการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ใช้โปรแกรม STATA สุ่มแบบ stratified random sampling ผลการศึกษา: 1)ด้านนโยบาย มีความเห็นว่านโยบายเรื่องการให้บริการคุมกำเนิดสำหรับผู้รับบริการทุกสิทธิตามนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและโครงการป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำในแม่วัยรุ่นเป็นนโยบายที่ดี เพราะช่วยลดปัญหากลุ่มวันรุ่นที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม สามารถแก้ปัญหาด้านการเข้าถึงบริการของประชากรกลุ่มต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง 2) ด้านการให้บริการพบว่า มีบริการที่ครอบคลุมสิทธิทุกประเภท ถึงแม้จะไม่มีวิธีคุมกำเนิดที่หลากหลายไว้ให้บริการก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นกับการจัดหาเวชภัณฑ์คุมกำเนิดของโรงพยาบาลและความต้องการของผู้มารับบริการ ในส่วนของโรงพยาบาลรัฐ ยังให้บริการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มอายุ ทุกกลุ่มประชากร ส่วนการให้บริการคุมกำเนิดกึ่งถาวรแก่วัยรุ่นตามโครงการป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำในแม่วัยรุ่นพบว่า มีการให้บริการเพิ่มขึ้น โดยวิธีคุมกำเนิดชนิดห่วงอนามัย เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 ส่วนวิธีการคุมกำเนิดชนิดยาฝังคุมกำเนิดเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.4 3) ด้านการจัดหาเวชภัณฑ์ โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะดำเนินการจัดซื้อเอง โดยเป็นการซื้อโดยตรงกับบริษัทยา ผู้ตัดสินใจจัดซื้อคือคณะกรรมการของโรงพยาบาล ส่วนการเบิกค่าบริการคุมกำเนิดชนิดกึ่งถาวรตามโครงการป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำในแม่วัยรุ่น โรงพยาบาลส่วนใหญ่ร้อยละ 75.4 ไม่มีปัญหาในการเบิกจ่ายผ่านระบบ e-claim 4) ปัญหาอุปสรรคที่พบ ได้แก่ ด้านการรับรู้ของกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนทั่วไปบางส่วนไม่ทราบสิทธิที่ตนพึงได้ สำหรับกลุ่มวัยรุ่นการรับรู้ข่าวสารยังไม่ทั่วถึง ผู้บริหารบางแห่งไม่ให้ความสำคัญด้านการจัดหาเวชภัณฑ์ ข้อเสนอแนะจากการวิจัย: 1) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขจัดทำคู่มือการบริหารจัดการและการให้บริการวางแผนครอบครัวของโรงพยาบาลทุกประเภทให้ชัดเจนและเป็นปัจจุบัน สำหรับผู้รับบริการทุกสิทธิตามนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับบริการตามสิทธิและตามความต้องการ 2) ประเมินความพึงพอใจการรับบริการวิธีคุมกำเนิดกึ่งถาวรของวัยรุ่น เพื่อนำผลการประเมินมาพัฒนาบริการให้ตรงกับความต้องการ และการดำเนินงานโครงการในระยะต่อไป 3) ควรผลิตสื่อชุดความรู้ที่มีรูปแบบหลากหลาย หลายภาษา และทันสมัย ผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงง่ายและเป็นที่นิยมของทุกกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะวัยรุ่น 4) พัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการ ควรมีทั้งบุคลากรที่เคยได้รับการพัฒนาศักยภาพแล้วเพื่อฟื้นฟู/ทบทวนความรู้ และบุคลากรที่ยังไม่เคยได้รับการพัฒนาศักยภาพเพื่อให้ความรู้ใหม่ เพื่อส่งผลให้การบริการมีคุณภาพและประสิทธิภาพ