Migration to and from Khon Kaen development centre of northeast Thailand: according to population registration data for 1962 and 1972
In: Occasional paper 59
16782 Ergebnisse
Sortierung:
In: Occasional paper 59
In: Ecology and development series 35
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์ผลการดำเนินงานด้านการเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น โดยพิจารณาจากดัชนีวัดผลการดำเนินงานด้านการเงินใน 4 มิติ ได้แก่ 1) ความยั่งยืนในการบริหารเงินสด 2) ความยั่งยืนทางงบประมาณ 3) ความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว 4) ความเพียงพอของการให้บริการสาธารณะ โดยมีทั้งหมด 17 ดัชนีชี้วัด ทำการเก็บข้อมูลในแต่ละตัวชี้วัดจากเอกสารด้านการเงินและการคลังขององค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น วิเคราะห์โดยใช้อัตราส่วนการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์ผลการดำเนินงานด้านการเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น โดยพิจารณาจากดัชนีวัดผลการดำเนินงานด้านการเงินใน 4 มิติ ได้แก่ 1) ความยั่งยืนในการบริหารเงินสด 2) ความยั่งยืนทางงบประมาณ 3) ความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว 4) ความเพียงพอของการให้บริการสาธารณะ โดยมีทั้งหมด 17 ดัชนีชี้วัด ทำการเก็บข้อมูลในแต่ละตัวชี้วัดจากเอกสารด้านการเงินและการคลังขององค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น วิเคราะห์โดยใช้อัตราส่วน ผลการศึกษาผลการดำเนินงานด้านการเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่นในปีงบประมาณ 2560 พบว่า 1) ความยั่งยืนในการบริหารเงินสดค่อนข้างสูง อัตราส่วนทุนหมุนเวียน เท่ากับ 2.26 และอัตราส่วนเงินสด เท่ากับ 2.93 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี 2) ระดับการพึ่งพาตนเองทางการคลังค่อนข้างต่ำ มีระดับเงินสะสมเพียงร้อยละ 0.71 และสัดส่วนของรายจ่ายจากภาษีอากรท้องถิ่นที่จัดเก็บเองร้อยละ 0.40-0.55 ของรายจ่ายรวม ซึ่งไม่เพียงพอต่อรายจ่ายทำให้ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐเป็นส่วนใหญ่ 3) ความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว ในภาพรวมค่อนข้างดี ระดับหนี้สินมิได้ก่อให้เกิดภาระทางการเงินแก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่นมากนัก โดยมีระดับหนี้สินระยะยาวเพียง ร้อยละ 0.15 และอัตราส่วนสินทรัพย์สุทธิที่มีเพิ่มมากขึ้นถึง ร้อยละ 0.81 4) ความเพียงพอของการใช้บริการสาธารณะ ในภาพรวมยังไม่เพียงพอ โดยพบว่าพนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น 1 คน ต้องให้บริการและดูแลประชาชนประมาณ 1,693 คน และการจัดสรรรายจ่ายในการให้บริการแก่ประชาชน เท่ากับ 977.23 บาท นอกจากนี้ยังพบว่าการจัดเก็บภาษีอากรในท้องถิ่นเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยระดับภาษีท้องถิ่นที่ประชาชนต้องช่วยกันแบกรับถึง 633.08 บาท ซึ่งสิ่งนี้สามารถสะท้อนถึงปริมาณของการจัดบริการสาธารณะที่จะกลับคืนสู่ชุมชนในแนวโน้มที่สูงขึ้นทุกปีอีกด้วย ; The objectives of this study were to analyze financial performance of Khon Kaen Provincial Administrative Organization by considering 4 dimensions of financial performance indices including 1) Cash Solvency, 2) Budget Solvency, 3) Long-Term Solvency, and 4) Service-Level Solvency. There were 17 indicators. Data on each indicator were collected from financial and fiscal documents of Khon Kaen Provincial Administrative Organization. Data were analyzed by ratio and percentage.The objectives of this study were to analyze financial performance of Khon Kaen Provincial Administrative Organization by considering 4 dimensions of financial performance indices including 1) Cash Solvency, 2) Budget Solvency, 3) Long-Term Solvency, and 4) Service-Level Solvency. There were 17 indicators. Data on each indicator were collected from financial and fiscal documents of Khon Kaen Provincial Administrative Organization. Data were analyzed by ratio and percentage. The results of studying financial performance of Khon Kaen Provincial Administrative Organization in the fiscal year 2017 showed that 1) Cash Solvency was relatively high. Current ratio was 2.26 and cash ratio was 2.93. These ratios are likely to increase every day. 2) Budget Solvency was relatively low. Accumulated fund was only 0.71% and local tax collected was 0.40-0.55% of total expenditure, which was lower than the expenditure. This led to reliance to government subsidies. 3) Long-Term Solvency was quite good. Level of debt of Khon Kaen Provincial Administrative Organization did not lead to severe financial burden with long-term debt of only 0.15% and net assets ratio increased to 0.81%. 4) Service-Level Solvency was not sufficient. An official of Khon Kaen Provincial Administrative Organization must serve and take care of 1,693 people. Allocated expenditure for public services was 977.23 baht. Moreover, local tax collection increased. Local tax rate collected from local people was up to 633.08 baht. This reflects increasing public service for the community each year.
BASE
บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความพร้อมรับผิดและข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการสร้างระบบความพร้อมรับผิดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิที่ได้จากการสังเคราะห์ข้อมูลด้านความพร้อมรับผิดที่ได้จากโครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ และคณะ (2560) ได้ดำเนินการประเมินองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 225 แห่งในจังหวัดขอนแก่น โดยที่ความพร้อมรับผิดในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย ความพร้อมรับผิดในการปฏิบัติงาน ความพร้อมรับผิดในการบริหารงาน และเจตจำนงสุจริตในการบริหารงาน จากผลการประเมินพบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น มีระดับของการประเมินด้านความพร้อมรับผิดอยู่ในระดับสูงมาก (มีค่าคะแนนเท่ากับ 87.58) แสดงให้เห็นว่าบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ทั้งในระดับผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานแทบทุกคน ประเมินว่าตนเองมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ เต็มใจ และกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ โดยมุ่งผลสำเร็จของงานเป็นหลัก พร้อมที่จะส่งมอบผลงานตามที่กำหนดไว้ ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานมีความพร้อมรับผิดชอบ เมื่อหน่วยงานเกิดความเสียหายหรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแทบจะทุกแห่งได้มีการแสดงเจตจำนงสุจริตในการบริหารงาน โดยการกำหนดเป็นนโยบาย มาตรการ แผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมเพื่อพัฒนาหน่วยงานให้มีคุณธรรมและความโปร่งใสตามแนวทางประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐใน 6 ด้าน อันได้แก่ ความโปร่งใส ความพร้อมรับผิด ความปลอดจากการทุจริตในการปฏิบัติงาน วัฒนธรรมคุณธรรมในองค์กร คุณธรรมการทำงานในหน่วยงาน และการสื่อสารภายในหน่วยงาน แต่ควรจะได้มีการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ รวมทั้งการมีระบบกำกับ ติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานอย่างชัดเจน เพื่อนำไปสู่การปรับกลยุทธ์ เพื่อเสริมสร้างความพร้อมรับผิดให้มีมากขึ้นต่อไป ; Abstract This research had the objective to assess the readiness of local administrative organizations (LAO) in Khon Kaen Province to assume the roles and responsibilities of local government. This study also presents guidelines for building capacity of the LAO in Khon Kaen. Data were collected from a review and synthesis of existing documentation, including the evaluation project on "Ethics and Transparency in 225 LAO in Khon Kaen during Fiscal Year 2017" (Supawatanakorn Wongthanavasu et al). The current research assessed LAO readiness in terms of managing implementation, managing the LAO staff, and honesty/fidelity in management. This study found that LAO in Khon Kaen have a high level of readiness (mean score of 87.58). This shows that the LAO staff, both line and staff positions, feel that they have commitment, determination and motivation to perform their tasks to the best of their ability to achieve the desired results. The line managers and staff are ready to take responsibility for correcting deficiencies, damages, or errors that arise during implementation. Neatly all the senior administrators demonstrated an ethical and moral approach to their jobs. Good governance is a policy of the LAO, and this is reflected in measures, plans, projects and activities of the each of the LAO sections. The key areas of excellence include transparency, responsibility, absence of corrupt practices, a culture of ethics in the organization, ethical practices in each section, and communication within the LAO. But it should be implemented policy. As well as having a system. Follow the progress of the operation clearly. To contribute to the strategic adjustment. And strengthen the liability to continue.
BASE
The objectives of this research were to study (1) Socialization of democracy in families and that of children observed by parents; and (2) factors influencing such socialization. The unit used in analysis was the family through interview schedules for data collection with parents in 1,000 families in Muang, Kranuan, Nong Ruea, Mancha Khiri and Si Chomphu Districts, KhonKaen Province. Data analysis was by the SPSS for Windows program. The statistics used were precentage, mean, standard deviation, chi-squared and Pearson's correlation coefficient, while the analysis of factors influencing such socialization was by Stepwise Multiple Regression Analysis. The results of the study on framing features showed that most families were isolated employed in farming and government service with low income of 120,000 baht/year. On family relationship, most were found to raise children withparents' authority over decision making. On the family's political culture, most were found to have parents' with democratic personalities at the moderate level with regular political participation and high awareness of information via mass media. On socialization of democratic personality in families, most were observed at high level, while children's democratic personality observed by parents was moderate. About factors influencing such socialization through Stepwise Multiple Regression Analysis, they were found at the 0.05 level of significance concerning family members' relationships, getting information via mass media, use of reason by parents when raising children, family's political participation, family's income, parents' control in raising children and parents' democratic personality. All these independent variables could help explain the variation of socialization of democratic personality at 23.9 percent.
BASE
In: Ageing international, Band 43, Heft 2, S. 141-157
ISSN: 1936-606X
In: Asian politics & policy: APP, Band 14, Heft 3, S. 374-387
ISSN: 1943-0787
AbstractThis article examines the roles of policy brokers in different settings of collaboration in Khon Kaen and Bueng Kan Cities in Thailand. It integrates the advocacy coalition and multiple stream frameworks to view how a policy broker in different collaborative settings would manage their preferred urban transport initiatives by conducting qualitative research methodology based on an embedded multiple case study approach. The results showed Khon Kaen City revealed a horizontal setting of local collaboration where the Khon Kaen Think Tank and Khon Kaen Transit System were key policy brokers that strategized light rail transit initiatives. These policy brokers were proficient in negotiating, financing, and locally‐allied strategies. Bueng Kan City displayed a vertical collaboration where the Deputy Minister of Interior of Thailand was a crucial policy broker who held potential administrative and political powers to manage the desired policies. This study showed that several joint actors, as backing resources to policy brokers, were essential to horizontal collaboration, but they were less critical than the resources of the policy brokers in vertical collaboration.
The purposes of this research were to study 1) the characteristics of high achievers and their families and 2) theperformance of high achievers. This research was done in 2 phases and the sample was 52 students who passed the entrance examination in the top 5% of each faculty in Khon Kaen University and had a GPA of 3.5 or above. The sample in the second phase was 6 students having I.Q Score at the 95 percentile level. This research had 6 questionnaires, an advanced progressive matrices test, an interview form and student autobiography. Data was analyzed using SPSSX and inductive review.The findings were as follows: 1) high achievers were mostly female (female 73.17%, male 26.84%), intellectuallysuperior, and were raised democratically. 2) high achievers' scholastic performance had the following features: good memory from doing, self discipline, not skipping difficult lessons, prior understanding of assignments and planning of assignments before doing, always reviewing lessons, always sitting at the front of he classroom, making short notes in each subject and concentrating in every subject, and trying to do higher and higher quality work. Most preferred friends who were humble and helpful.
BASE
In: European Journal of Sustainable Development: EJSD, Band 6, Heft 2
ISSN: 2239-6101
This article is based on an investigation of situations related to the utilization of e-government in public administration organizations, especially at the local municipality level in Thailand. The sample population consisted of elected and unelected officers in seven municipalities in Khon Kaen province, Thailand. Random sampling was employed to select the municipalities. The main objective of the study was to explore the current e-government utilization situation in Thai local administration organizations. A survey questionnaire was used to collect data along with unstructured interviews and a website review. The obtained data was analyzed for mean and standard deviation. Content analysis was also used. The results show that while use of e-government at the Thai local level has expanded, the greater usage has not resulted in successful e-government development. In fact, e-government development in Thai municipalities is still at the first stage, emerging presence. The data from open-ended questions also shows that in order to improve the use of e-government at the local level, better management, better technology and policy changes are needed. Moreover, the digital divide between local citizens is still a major stumbling block of Thai local e-government development.
BASE
This cross-sectional descriptive study aimed to determine the prevalence of musculoskeletal disorders (MSDs) among dental personnel of government sector in Khon Kaen province. There were 282 dental personnel enrolled into this study. Data were collected by interviews with the structural questionnaires. Descriptive statistics were used to describe characteristics of participants and MSDs prevalence and 95% confidence interval (95%CI) were calculated. The results showed that most participants were female (81.9%), the mean age was 32.8 years (S.D. = 9.4 years) and body mass index was normal level (18.5 – 22.9 kg/m2) for 55.3%. Most work positions were dental nurses (46.4%), followed by dentists (22.0%) and patient assistants (18.1%), respectively. The last 7-day and 1- month prevalence of MSDs were 57.8 (95%CI=51.8-63.6) and 93.6% (95% CI = 90.0-96.2), respectively. At severe level of pain, the top three prevalences were found at shoulder (24.6 %), lower back (19.3%), and neck (16.7%), respectively. When the frequency of pain at everyday occurrence was considered, the top three prevalence of pain were found at areas of shoulder (13.6%), neck (11.7%) and lower back (7.6%), respectively. Among MSDs cases (n=264), 76.1% of cases reported that pain impacted on working but normal daily life activity and 71.2% of cases reported that MSDs were caused by working. Cases reported the most severe symptoms occurring in the evening after work ( 41.3%). There were 64.4% of cases intaked painkillers or asked treatment by Thai traditional medicine program. The findings identify the high prevalences of neck, shoulder and back pain among dental personnels at the severity level and the high frequency of pain occurrence. Therefore, there should be the health surveillance program of neck- shoulder- back pain among dental personnels. These results are very useful for the planning of the prevention of MSDs among dental personnel by further study with prospective cohort study to identify the risk factors of neck-shoulder-back pain.
BASE
In: Kasetsart journal of social sciences, Band 42, Heft 3
ISSN: 2452-3151
This study considered the architectural type, project site, references in terms of type, language and year of publication of architectural theses from Khon Kaen and Mahasarakham Universities, including the correlation with the aims of the curriculum and professional needs. The number of architectural theses considered was 326, with 284 coming from Khon Kaen University and 42 from Mahasarakham University. The data was analyzed using the SPSS/PC+ computer program as percentages. The results of the research concerning architectural type and project site showed that most of the theses from Khon Kaen and Mahasarakham Universities concerned entertainment venues (at 41.9% and 50.0% respectively) in the Northeast (44.7 and 71.4% respectively), followed by commercial and industrial buildings. Religious buildings had the lowest rate from both institutions. Information used for references in architectural theses was mostly government publications (39.0%), general books (28.1%) and theses (19.9%) from Khon Kaen University, while those from Mahasarakham University were mostly general books (41.6%) followed by government publications (22.3%) and theses (20.7%). As to audiovisual materials, all theses from both institutions referenced maps and building plans. Similarly, all theses from both institutions referenced material from the internet. Architectural theses from Khon Kaen University referenced 67.5% of material in Thai, and that published between 1992 and 1996 the most (44.5%). English material was referenced at 32.5%, with 39.7% being published between 1987 and 1991. Architectural theses from Mahasarakham University referenced Thai material the most (85.6%) published between 1997 and 2001 (47.0%) followed by English material (14.4%) published between 1992 and 1996 (30.2%). When considering whether architectural theses from Khon Kaen and Mahasarakham Universities are in line with the aims of curriculum and professional needs, it was found that in general they were in line with all the aims of the curriculum.
BASE
The research aimed to explore the property market and study the readiness of the property business development in northeast Thailand. The first part was concerned with price determination analysis of the market with the use of multiple regression analysis in Khon Kaen and Udon Thani. Results showed that the factors had the positive impact on property price are the size or usable area, number of bedrooms, size of garden, parking lot, fitness & swimming pool and the security system. While the negatively influenced factors were the promotion, marketing policy and distance of community. The second part examined both producers' and government's decision making in the property development with the adoption of logistic regression analysis. Empirical results indicated that the readiness of the property development in northeastern Thailand was 96%, while, Khon Kaen readiness was 85.03% and Udon Thani readiness was 93.75% respectively. The influential factors included city planning system, the higher per capita income, being near the super store, the credit policy and environmental impact analysis. Article DOI: https://dx.doi.org/10.20319/pijss.2018.42.144159 This work is licensed under the Creative Commons Attribution-Non-commercial 4.0 International License. To view a copy of this license, visit http://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ or send a letter to Creative Commons, PO Box 1866, Mountain View, CA 94042, USA.
BASE
In: Environmental management: an international journal for decision makers, scientists, and environmental auditors, Band 22, Heft 6, S. 817-830
ISSN: 1432-1009